Ferrari S.p.A.
บุคลากรหลัก
เอ็นโซ เฟอร์รารี่ (ผู้ก่อตั้ง)แมตเตโอ ดิ มอนเตเซโมโล (ประธานบริษัท)
ปีเอโร เฟอร์รารี่ (รองประธาน)อาเมเดโอ เฟลิซา (ซีอีโอ)Giancarlo Coppa (ซีเอฟโอ) |
เฟอร์รารี่
เป็นบริษัทผลิตรถ จากมาราเนลโล ประเทศอิตาลีก่อตั้งในปี 1929 โดย นาย เอ็นโซ เฟอร์รารี่เป็นผู้ก่อตั้ง
และได้มาก่อตั้งใหม่ในปี 1947 เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชื่อดัง ที่มีจำหน่ายทั่วโลก
โดยคู่แข่งทางการค้าคงหนีไม่พ้น ค่าย กระทิงดุ ลัมโบร์กีนีซึ่งรถสัญชาติเดียวกัน มีสีประจำยี่ห้อ คือ สีแดง
เฟอร์รารี่เป็นผู้ได้รับการบันทึกไว้สำหรับการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในความสำเร็จกับรถสูตรหนึ่งโดยสปอนเซอร์รายใหญ่ของเฟอร์รารี่ คือ
บริษัทน้ำมันรายใหญ่ชื่อ เซลล์ รถเฟอร์รารี่มีฉายาที่คนไทยรู้จักกันดีว่า
ม้าลำพองสำหรับรุ่นต่างๆ ของเฟอรร์รารี่ ได้แก่ แคลิฟอเนีย , 458 อิตาเลีย , เอฟ 12 เบริเนตต้า , เอฟเอฟ , เอ็นโซ , เอ็ฟ 430 เป็นต้น
เอนโซ เฟอร์รารี่ (Enzo Ferrari) เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1898 ในเมือง Modena เป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว
(พี่ชายคนโตชื่อ อัลเฟรโด (Alfredo) เช่นเดียวกับบิดา)
ในวัยเด็ก
ฐานะของครอบครัวไม่มีอะไรน่าวิตกมากนักจนพ่อของเขาเป็นเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับเหล็ก
และ โครงสร้างเหล็ก ชีวิตในวัยเด็กของเอนโซ FERRARI ไม่มีอะไรน่า ตื่นเต้น จนกระทั่งพ่อพาเขาไปดูการแข่งรถเป็นครั้งแรกในชีวิต
ไม่นานนักก็ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก พ่อและพี่ชายเสียชีวิต FERRARI จำเป็นต้องขายธุรกิจครอบครัว และเดินทางไปหางานทำและใช้ชีวิตอยู่ใน Turin เรื่อยมา
หลังจากที่ทำงานหลายอย่าง กระทั่งในโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับรถยนต์ ในที่สุดเขาก็ได้เข้าทำงานอย่างจริงจังในบริษัทผลิตรถยนต์ของอัลฟา
โรมีโอ (Alfa Romeo) และที่นี่เองความสามารถเกี่ยวกับเครื่องยนต์ของเขาได้ฉายแววออกมาอย่างเด่นชัด ในตอนแรก FERRARทำหน้าที่เป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ต่อมาก็เลื่อนตำแหน่งเป็นนักขับรถทดสอบเครื่องยนต์ จากนั้นไม่นานเขาก็สามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด พร้อมทั้งเป็นเอเยนต์ขายรถยนต์อัลฟา
โรมีโอ ในแคว้นเอมีเลียม-โรมานยา (Emilia-Romagna) ในเวลาเดียวกัน
ในช่วงที่ FERRARI
เป็นนักขับรถเพื่อทดสอบเครื่องยนต์เขาก็เข้าแข่งขันรถหลายครั้งจนในวันที่ 1 ธันวาคม 1929 เขาก็ได้ตั้งทีมแข่งรถของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า
The Societa Anonima
Scuderia Ferrira (The Ferrari Team) เพื่อเข้าแข่งขันในทุกรายการที่จัดขึ้นโดยใช้รถของอัลฟา โรมมีโอ และในช่วงนี้เองที่มีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่
ๆ เพื่อเข้าแข่งขันมากขึ้น เช่นรถ Alfa Romeo 2 เครื่องยนต์ซึ่งผลิตโดยลุยกี
บาซซี่ (Luigi Bazzi) และ Alfa158 ซึ่งผลิตใน Modena จากฝีมือของ
FERRARI เองเมื่อครั้งที่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมแข่งรถของ Alfa Romeo
เมื่อทีม Scuderia Ferrari ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน
FERRARI ก็คิดจ้างนักขับรถแข่งมืออาชีพเข้ามาร่วมทีมด้วย อาทิ ทาซิโอ
นูโวลารี่ (Tazio Nuvolari) รวมทั้ง ทาร์โก โฟลริโอ
(Targo
Florio) ซึ่งได้รับชัยชนะในการแข่งขันปี 1932 ในการแข่งขัน Mill Miglia ปี 1933 และในการแข่งขัน Germany Grand Prix ที่ Nurburgring ปี 1935 แต่แล้วอยู่ ๆ FERRARI
ก็เกิดความขัดแย้งกับนูโวลารี่ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความขัดแย้งกับนักขับรถแข่ง
คนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ในช่วงปลายปี 1939 เกิดความตึงเครียด
และไม่เข้าใจกันระหว่าง FERRARI และปิเอร์ อูโก
กอบบาโต (Pier Ugo Gobbato) ลูกชายของอัลฟา โรมีโอ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนหนึ่งของบริษัท
รวมทั้งการที่ FERRARI ไม่เคารพ
ริการท์ (Ricart) วิศวกรเครื่องยนต์ใหญ่ชาวสเปนของอัลฟา
โรมีโอ จึงเป็นเหตุให้ FERRARI ต้องยุติ บทบาทของตัวเองในบริษัท
อัลฟา โรมีโอ โดยสิ้นเชิง และออกจากบริษัทไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมากอีกสองคนคือลุยกีบาซซี่(Luigi Bazzi) และ อัลแบร์โต
มาสซิมิโน (Alberto
Massimino) แต่บ้างก็กล่าวว่า สาเหตุหลักของการออกจากบริษัทอัลฟา
โรมีโอ ในครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าที่กล่าวไปแล้ว ข้างต้น คือ FERRARI ไม่ต้องการเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกอีกว่าถ้าใครคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดิมนานเกินไป ก็จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ผู้อำนวยการหลายคนของบริษัทแช่แข็งความสามารถของ
FERRARI นานกว่า 4 ปี
ไม่ยอมให้เขาผลิตรถยนต์ใหม่ ๆ ขึ้นมา และแม้กระทั่งไม่ยอมให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันใด
ๆ เลย เขาจึงต้องหาทางแก้เผ็ดอัลฟา โรมีโอ
และหันหลังให้กับอัลฟา โรมีโอ จากนั้นก็เดินทางกลับไปยังบ้านเกิด Modena พร้อมกับเพื่อนอีกสองคนเพื่อก่อตั้งบริษัทของตนเองขึ้นมา
โดยใช้ชื่อว่า Auto Avio Construzioni
ในช่วงแรกซึ่งอยู่ในระหว่างสงครามโลก บริษัทของเขาผลิตได้แต่เพียงชิ้นส่วนเครื่องยนต์เท่านั้นจนถึงปี
1940 รถสปอร์ต spider-type 8 สูบ ที่ชื่อว่า Auto Avio Construzioni 815 ก็ถูกผลิตขึ้นมา โดยคาร์รอซเซอเรีย
ทัวริ่ง (Carozzeria
Touring) จากนั้นก็มีออกมาอีกหลายคัน จนในปี 1946 รถยนต์ FERRARI ที่แท้จริงคันแรกก็เกิดขึ้นโดยใช้ชื่อว่า
the 125 sport เป็นรถยนต์คันแรกที่
มี 12 สูบ จุน้ำมันไดครึ่งลิตร มาจากมันสมองและน้ำมือของวิศวกรเครื่องยนต์ลุยกี
บาซซี่และจิโออาชิโอ โคลอมโบ (Gioachio
Colombo) ดีไซเนอร์ซึ่งเคยอยู่กับอัลฟา โรมีโอ และเคยออกแบบ Alfa 158 สำหรับ
FERRARI ในปี 1937 มาแล้ว นับว่า 125 นี้ไม่ธรรมดาเลย เพราะในประเทศ อิตาลีหลังสงครามโลกแล้วยังไม่มีรถยนต์คันใดที่มี
12 สูบเลย แต่รถยนต์เฟอร์ารี่คันแรก ที่มีเครื่องหมายม้าสีดำทะยานอยู่ในพื้นสีเหลืองด้านบนเป็นสีธงชาติของ อิตาลี และด้านล่างมีอักษร F หางยาวนั้นก็เริ่มผลิตออกมาในปี
1947 และทดลองวิ่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคมปีเดียวกันนั้นเอง และนั่นก็คือจุดกำเนิดของสัญลักษณ์ม้าทะยาน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของรถยนต์ FERRARI แต่ก่อนหน้านี้สัญลักษณ์ม้าทะยานนี้มีใช้ก่อนแล้วโดยจะเห็นได้ที่รถแข่งทุกคันของทีมแข่งรถของ Scuderia Ferrari ของ FERRARI ในช่วงยุค 30s แต่ยังไม่ใช้อย่างเป็นจริงเป็นจัง และมีรูปแบบแตกต่างกันไป
สำหรับสัญลักษณ์ม้าทะยานนี้ แรกเริ่มเดิมทีติดอยู่ที่เครื่องบินของกองทัพในช่วงยุค
20s มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งที่
FERRARI ยังเป็นนักแข่งรถอ่อนประสบการณ์ เขาได้พบกับพ่อแม่ของ
ฟรานเซสโก บารักกา (Francesco Baracca) ซึ่งเป็นนักขับเครื่องบินชาวอิตาเลียนตัวยงในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นชาวเมือง Lugo เช่นเดียวกับแม่ของ FERRARI ทันทีที่ FERRARI เห็นสัญลักษณ์ม้าทะยานซึ่งติดอยู่ที่เครื่องบินของครอบครัวนี้ เขาก็เกิดความสนใจในรูปลักษณ์ของมัน
และเมื่อรู้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี เขาจึงนำม้าทะยานนี้มาใช้ในทีมแข่งรถ
แต่ FERRARI ก็ยังไม่ได้ใช้สัญลักษณ์ม้าทะยานในทันที เขาเก็บเอาไว้นานหลายปี
จนกระทั้งมีทีมแข่งรถของตัวเองซึ่งก็คือ Scuderia Ferrari นั่นเอง อาจมีคำถามว่าทำไมครอบครัวบารักกาจึงต้องมีม้าทะยานติดอยู่ที่เครื่องบินของพวกเขา คำตอบก็คือ
เช่นเดียวกับนักบินคนอื่นๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ต้องขึ้นกับกรมทหารม้า
Piedmontese Cavalry
Regiment ซึ่งมีม้าทะยานเป็นสัญลักษณ์ก็เป็นได้ ส่วนพื้นด้านหลังของสัญลักษณ์เป็นสีเหลืองนั้นก็ใช้แทนสีของModenนั่นเอง
หลังจากที่ได้มีการแนะนำ 125 Sport แล้วก็นำเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง 125 สามารถคว้าชัยชนะมาได้ในช่วงปีเดียวถึง 1 ครั้ง เริ่มจากครั้งแรกวันที่ 5 พฤษภาคม เมื่อฟรังโก คอร์เตส (Franco Cortes) พา 125เข้าเส้นชัยในรายการ Rome Grand Prix และครั้งนี้เองที่สร้างความฮือฮาให้กับคนในวงการแข่งรถมาก เพราะฟรังโก เพื่อนของ FERRARI ไม่ได้เป็นนักขับรถแข่งมือาชีพ แตเป็นเพียงเซลส์ขายชิ้นส่วนเครื่องยนต์ของ FERRARI เท่านั้น
สำหรับ Formula 1 คันแรก ผลิตขึ้นที่ Turin เมื่อเดือนกันยายน 1948 แต่เข้าร่วมแข่งขันครั้งแรกในสนาม
Garda Circuit เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมปีเดียวกัน และได้รับชัยชนะอย่างสวยงามด้วยฝีมือการขับของ นีโน ฟารีน่า
(Nino Farina) จากนั้นในเดือนพฤษจิกายนปีเดียวกัน FERRARI ก็นำรถยนต์ 2 คัน ซึ่งผลิตด้วยฝีมือของ ทัวริ่งนำออกแสดงในงาน Turin Motor Show ซึ่งรถทั้งสองคันนั้นก็คือ Berlinetta และ Barchetta 166 จากนั้นก็มีรถใหม่ๆ
ออกมาอีกหลายคันทั้งที่เป็น Sport, Grand Touring Car, Formula-2 , Formula Libre ในช่วงนี้เองที่บริษัทของ FERRARI แข็งแกร่งขึ้นมาก เพราะมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครื่องยนต์และวิศวกรเครื่องยนต์ฝีมือดีอีกมากมาย ทั้งจิโออาชิโอ โคลอมโบ ซึ่งออกจากบริษัทอัลฟา โรมีโอ หลังจากที่ได้มีการแนะนำ 125 Sport แล้วก็นำเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง 125 สามารถคว้าชัยชนะมาได้ในช่วงปีเดียวถึง 1 ครั้ง เริ่มจากครั้งแรกวันที่ 5 พฤษภาคม เมื่อฟรังโก คอร์เตส (Franco Cortes) พา 125เข้าเส้นชัยในรายการ Rome Grand Prix และครั้งนี้เองที่สร้างความฮือฮาให้กับคนในวงการแข่งรถมาก เพราะฟรังโก เพื่อนของ FERRARI ไม่ได้เป็นนักขับรถแข่งมือาชีพ แตเป็นเพียงเซลส์ขายชิ้นส่วนเครื่องยนต์ของ FERRARI เท่านั้น
และอยู่กับ FERRARI จนกระทั่งถึงปี 1951ม, ออร์ลิโอ แลมเพรดี้ (Aurelio Lampredi) ซึ่งอยู่กับ FERRARI ตั้งแต่ 1948-1955 ซึ่งทั้งสองคนนี้ช่วยกันสร้างรถยนต์รุ่นแรกๆ
อย่าง125, 159 จนกระทั่งถึงรถยนต์รุ่นหลังๆ 166, 195, 212, 225, 275, 340 และ 375 นับเป็นความโชคดีของ FERRARI ที่ได้เพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถสูง ทีมของเขาจึงสามารถคว้า ชัยชนะจากรายการแข่งขันต่างๆมากมาย เช่นในปี 1949 บิโอเนตตี้ และซาลานี่
ได้รับชัยชนะอีกครั้งในรายการ Mile Miglia ด้วยรถ Barchetta 166 ในขณะที่อัสคารี่ได้รับชัยชนะในรายการ Formula 1 Grand Prix ที่ Monza เมื่อวันที่ 11 กันยายน ด้วยรถ FERRARI 2 ลิตร ซึ่งรถคันนี้ผลิตเพื่อเข้าแข่งขันโอเพ่นฟอร์มูลาซึ่งเปิดสำหรับเข้าแข่งขันจากทั่วโลก และเพื่อเป็นการหาลูกค้าใหม่ๆด้วย
ในปี 1950 FERRARI หันมาให้ความสนใจกับเครื่องยนต์ไอพ่น
ซึ่งออร์ลิโอ แลมเพรดี้ หัวหน้าวิศวกร เครื่องยนต์
เป็นผู้แนะนำให้รู้จัก และเขาก็เอามาใช้กับรถแข่งรุ่นใหม่ๆของเขา ซึ่งในการตัดสินใจครั้งนี้ถือว่าเป็นการเสี่ยงนั้น
ทำให้ FERRARI ประสบความสำเร็จ และมีชัยเหนืออัลฟา
โรมีโอ สมความตั้งใจ กล่าวคือ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 1951 ฟรออิลาน กอนซาเลซ (Froilan Gonzalez) หรือที่รู้จักกันดีในนามของ
(The Pampas Bull) สามารถพารถยนต์รุ่น 375-F1 ของ FERRARI คว้าชัยเหนือรถคู่แข่ง
158 ของอัลฟา โรมีโอ จากการแข่งขัน British Grand Prix ได้สำเร็จ
นับเป็นชัยชนะครั้งแรก ซึ่งทำให้ FERRARI ถึงกับประกาศว่า"ในที่สุดผมก็โค่นบริษัทแม่ลงได้แล้ว"
ปี 1955 FERRARI ยังคงอุทิศตัวเองให้กับการผลิตรถยนต์คันใหม่ๆ
ขึ้นมา และเขาก็ได้ตัดสินใจรับช่วงต่อโครงการแข่งรถ ของวิตโตริโอ
จาโน (Vittorio Jano) แต่ยังให้เขาถือหุ้นอีกต่อไปนานถึง30ปี
ปี 1956 เป็นปีที่ FERRARI ต้องสูญเสีย ดีโน (Dino) บุตรชาย ด้วยโรคลูคีเมีย แม้ว่าจะเสียใจแต่เขาก็ ไม่ทอดทิ้งการทำงาน FERRARI เริ่มมีเครื่องยนต์แบบ 6 สูบออกมาใช้ และเขาก็ได้รับชัยชนะ จากการแข่งขัน Constructors' World Championship ด้วยรถยนต์ 850 Monza และ 290MMซึ่งขับโดย ฟังจิโอ ( Fangio),คาสเตลลอนตี้ (Castellotti), ตริน ติยองค์ และฟิล ฮิลล์ (Phil Hill)รวมทั้งปีนี้ยังมีการนำเอาอัลลอยด์เบา มาใช้ทำถังบรรจุน้ำมันอีกด้วย
ปี 1956 เป็นปีที่ FERRARI ต้องสูญเสีย ดีโน (Dino) บุตรชาย ด้วยโรคลูคีเมีย แม้ว่าจะเสียใจแต่เขาก็ ไม่ทอดทิ้งการทำงาน FERRARI เริ่มมีเครื่องยนต์แบบ 6 สูบออกมาใช้ และเขาก็ได้รับชัยชนะ จากการแข่งขัน Constructors' World Championship ด้วยรถยนต์ 850 Monza และ 290MMซึ่งขับโดย ฟังจิโอ ( Fangio),คาสเตลลอนตี้ (Castellotti), ตริน ติยองค์ และฟิล ฮิลล์ (Phil Hill)รวมทั้งปีนี้ยังมีการนำเอาอัลลอยด์เบา มาใช้ทำถังบรรจุน้ำมันอีกด้วย
ในต้นยุค 90s การแข่งขันทางการตลาดของรถยุโรปเริ่มชลอตัว อาจเป็นไปตามกฎที่ว่าอะไรที่หายากก็ย่อมเป็นที่ต้องการอย่างมาก ตามข้อมูลทางการผลิตของ FERRARI จำนวนรถยนต์ที่ผลิตในแต่ละปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
เช่นในปี 1971 ผลิตรถยนต์ประมาณ 1,246 คันต่อปี 1979 ประมาณ 2,221 คัน ปี 1985 ประมาณ 3,119 คัน และสุดท้ายเพดานการผลิตก็ตันอยู่ที่
4,001 ในปี 1988 แต่จากนั้นในปี 1994 จำนวนของการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 71,113 คัน แม้ว่า FERRARI จะผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ความสวยงามและความสมบูรณ์แบบก็ยังคงอยู่ครบถ้วน ซึ่งจะเห็นได้ว่ารถแต่ละคันถูกผลิตขึ้นมาจากการผสมผสานกันระหว่างความสวยงามของศิลปะและสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่เหนือชั้น จึงนับได้ว่า FERRARI เป็นรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าเกินราคา
ทายใจจาก Brand รถยนต์
BMW
เป็นผู้อ่อนโยนอ่อนหวานแต่ลึกๆเปี่ยมไปด้วยเล่ห์กลต่างๆ มักจะมีนิสัยเจ้าชู้ประเภทปากว่าตาขยิบ แต่ถ้า หากรักใครซักคนก็จะรักแบบหัวปักหัวปำเลยแหละ ถ้าไม่ใช่เสี่ยมือเติบก็หนุ่มขี้หลีโดยประมาณ เป็นคนมุ มานะสูง จะจีบสาวคนใดถ้ามุ่งมั่นไปแล้วก็จะจีบให้ได้ เป็นคนเซ็กส์จัด ชอบพูดจาตลกลามก แต่ดูอบอุ่น เมื่ออยู่ใกล้ๆ
CITRONE
เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มักจะมองผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าตัวเอง ยึดถือคติ ไวน์ยิ่งแก่ยิ่งรสดี แต่ไม่ชอบดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ มักจะมองคนลึกๆไม่มองเพียงภายนอก ถ้าจะคบผู้หญิงจะคบที่หัวใจเท่านั้น แต่เป็นคนที่ขี้เบื่อง่าย ทำอะไรจึงไม่ค่อยสำเร็จ
MERCEDES - BENZ
ผู้ชายที่อบอุ่น มีแต่การให้ โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนมากนัก แต่ก็หวังไว้ลึกๆว่าจะได้ผลนั้นตอบแทน เป็น คนที่ไม่ค่อยพูด แต่เวลาพูดจะพูดไม่หยุด เวลาเมาจะชอบพูดๆๆ
แล้วก้อพูดเกินความจำเป็น ลึกๆเป็นคน สุขุม เป็นประเภทที่ว่า แอบพกถุงยางอานามัยไว้ในกระเป๋า ในเก๊หน้ารถมียาคุมฉุกเฉิน มักจะเป็นคนที่ มองการไกล หวังถึงอนาคตข้างหน้ามากกว่าปัจจุบัน
เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มักจะมองผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าตัวเอง ยึดถือคติ ไวน์ยิ่งแก่ยิ่งรสดี แต่ไม่ชอบดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ มักจะมองคนลึกๆไม่มองเพียงภายนอก ถ้าจะคบผู้หญิงจะคบที่หัวใจเท่านั้น แต่เป็นคนที่ขี้เบื่อง่าย ทำอะไรจึงไม่ค่อยสำเร็จ
MERCEDES - BENZ
ผู้ชายที่อบอุ่น มีแต่การให้ โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนมากนัก แต่ก็หวังไว้ลึกๆว่าจะได้ผลนั้นตอบแทน เป็น คนที่ไม่ค่อยพูด แต่เวลาพูดจะพูดไม่หยุด เวลาเมาจะชอบพูดๆๆ
แล้วก้อพูดเกินความจำเป็น ลึกๆเป็นคน สุขุม เป็นประเภทที่ว่า แอบพกถุงยางอานามัยไว้ในกระเป๋า ในเก๊หน้ารถมียาคุมฉุกเฉิน มักจะเป็นคนที่ มองการไกล หวังถึงอนาคตข้างหน้ามากกว่าปัจจุบัน
FERRARI
ราชัญแห่งม้าพยศ ไม่เกรงกลัวอำนาจใคร มักเป็นคนที่มีอำนาจใหญ่ แต่จะไม่เบ่งถ้าไม่จำเป็น
เป็น ลูกเศรฐี หรือไม่ก็อาเสี่ยแก่ๆ ที่ออกมาจับสาวรุ่นราววัยคราวเดียวกับลูกตัวเองเป็นคนที่พูดจาเกรงใจคนอื่นแต่คำพูดแต่ละคำนั้นล้วนมีความหมาย จะเจ้าชู้แต่เวลาคบใคร
จะคบทีละคน
LAMBORGHINI
เวลาขับรถจะไม่มองคันอื่น เพราะคิดว่าตัวเองเลิศที่สุดแล้ว มักจะมองผู้หญิงที่ฐานะต่ำกว่าตนเอง
ไม่ ชอบอยู่ในกฏระเบียบ ออกจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าหนุ่มเฟอรารี่
แต่ส่วนมากจะนิสัยดีพูดจาไพเราะ การ วางตัวดูมีอำนาจ
AUDI
เป็นคนที่พูดจากระโชกโฮกฮาก ไม่พอใจใครจะพูดออกไปตรงๆ
รักครอบครัวเป็นที่สุด แต่จะแอบมีเล็กมี น้อยบ้าง แต่ส่วนมากเป็นคนปากกับใจไม่ตรงกัน
ถึงจะพูดอีกอย่างก็ทำอีกอย่าง หรือเรียกง่ายๆ ชอบขู่ แต่ไม่ทำ
CHEVROLET
เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน วันหยุดมักจะพาครอบครัวไปเที่ยว เป็นคนที่อบอุ่นยามอยู่ใกล้
ยามอยู่ ไกลก็จะคิดถึง ดูรวมๆแล้วจะเป็นคนเงียบๆ
แต่จะเซ็กส์จัดเช่นเดียวกับหนุ่ม
FORD
เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง แต่จะชอบพูดปิดบังเสมอ ถ้าไม่รู้จักใครมักจะไม่เปิดเผยตัวตนของตัว เอง เป็นคนที่ลึกลับต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้ใครรบกวน จะไม่ตอบโต้ใคร แต่เมื่อจำ เป็นจะสวมบทโหดทันที เป็นหนุ่มที่ไม่มีรสนิยมในเซ็กส์นัก เพราะฉนั้นชีวิตเซ็กส์จึงดูจืดชืด
VOLVO เป็นชายหนุ่มลึกลับผู้มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ชอบให้ใครสรรเสริญยกย่อง ชอบความยุติธรรมชอบลง ทุนและรอกำไรเป็นคนที่ถามคำตอบคำพูดจาน้อย ไม่ชอบสบตาคน ขี้อาย แต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ลึกๆที่หวังกำไรระยะยาว
VOLKSWAGEN ชายหนุ่มสุดโรแมนติก ชอบอะไรแปลกๆ ที่ไม่ซ้ำใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไม่เหมือนใคร เป็นคนชอบความตื่น เต้น ไม่ชอบทำอะไรลำบากนักมักจะเป็นคนขี้เกียด ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตนมี ได้คืบจะเอาศอก เป็นคน ปากแข็ง ที่ไม่ค่อยพูดหวานนัก แต่โดยรวมชอบทำตัว
VOLVO เป็นชายหนุ่มลึกลับผู้มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ชอบให้ใครสรรเสริญยกย่อง ชอบความยุติธรรมชอบลง ทุนและรอกำไรเป็นคนที่ถามคำตอบคำพูดจาน้อย ไม่ชอบสบตาคน ขี้อาย แต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ลึกๆที่หวังกำไรระยะยาว
VOLKSWAGEN ชายหนุ่มสุดโรแมนติก ชอบอะไรแปลกๆ ที่ไม่ซ้ำใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไม่เหมือนใคร เป็นคนชอบความตื่น เต้น ไม่ชอบทำอะไรลำบากนักมักจะเป็นคนขี้เกียด ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตนมี ได้คืบจะเอาศอก เป็นคน ปากแข็ง ที่ไม่ค่อยพูดหวานนัก แต่โดยรวมชอบทำตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น